Categories
Blog

การเลือกเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับห้องนอน

การเลือกเครื่องปรับอากาศสำหรับห้องนอน

เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับขนาดห้องและการใช้งาน โดยมีข้อควรคำนึงถึงดังนี้

1. ขนาดของห้อง

คำนวณ BTU ที่เหมาะสม: ขนาดของห้องจะกำหนดขนาดของเครื่องปรับอากาศที่ควรใช้ โดยค่า BTU (British Thermal Unit) คือหน่วยวัดความสามารถในการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ซึ่งการเลือก BTU ที่เหมาะสมจะทำให้เครื่องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน
การคำนวณ BTU: สูตรเบื้องต้นคือ ขนาดของห้อง (กว้าง x ยาว) คูณด้วย 600 สำหรับห้องนอนที่มีเพดานสูงกว่าปกติหรือห้องที่ได้รับแสงแดดโดยตรง อาจต้องเพิ่มค่า BTU ขึ้น 10-20%

2. การประหยัดพลังงาน

การเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า EER สูง: EER (Energy Efficiency Ratio) เป็นตัวบ่งชี้ความประหยัดพลังงานของเครื่องปรับอากาศ ค่า EER ที่สูงหมายถึงเครื่องปรับอากาศใช้พลังงานน้อยลงในการทำความเย็นเท่ากัน
สัญลักษณ์ Energy Star: การเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีสัญลักษณ์ Energy Star ช่วยให้มั่นใจว่าเครื่องนั้นมีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงาน

3. การควบคุมเสียง

ระดับเสียงต่ำ: ห้องนอนเป็นพื้นที่ที่ควรเงียบสงบเพื่อการนอนหลับที่ดี เครื่องปรับอากาศที่มีระดับเสียงต่ำหรือมีโหมด Quiet Mode จะเป็นทางเลือกที่ดี

4. ฟังก์ชันและคุณสมบัติเพิ่มเติม

ฟังก์ชันปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ (Auto Mode): เครื่องปรับอากาศที่สามารถปรับอุณหภูมิอัตโนมัติจะช่วยรักษาอุณหภูมิห้องให้อยู่ในระดับที่สบายตลอดคืน
ระบบฟอกอากาศ (Air Purification): เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคภูมิแพ้หรือปัญหาด้านสุขภาพทางเดินหายใจ
โหมดการทำงานหลากหลาย (Multi-mode): เช่น โหมดทำความเย็น, โหมดพัดลม, โหมดทำความร้อน ซึ่งเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน

5. การติดตั้งและบำรุงรักษา

การติดตั้งที่ถูกต้อง: ควรติดตั้งเครื่องปรับอากาศในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อการกระจายความเย็นที่มีประสิทธิภาพ และควรให้ผู้เชี่ยวชาญทำการติดตั้งเพื่อความปลอดภัย
การบำรุงรักษา: การทำความสะอาดฟิลเตอร์และการตรวจเช็คเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาประสิทธิภาพของเครื่อง
การเลือกเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมจะช่วยสร้างบรรยากาศที่สบายและทำให้การนอนหลับมีคุณภาพมากขึ้น

Categories
Blog

เลือกโทนสีอย่างไรให้บ้านมีความเย็นสบาย​

การเลือกโทนสีที่เหมาะสมสำหรับบ้านสามารถช่วยสร้างบรรยากาศที่เย็นสบายและผ่อนคลายได้ โทนสีที่ใช้ในบ้านมีผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยอย่างมาก นี่คือคำแนะนำในการเลือกโทนสีเพื่อให้บ้านมีความเย็น

1. โทนสีเย็น (Cool Tones)

สีที่เป็นโทนเย็นจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสดชื่น สีที่ควรพิจารณาได้แก่:

  • สีฟ้า (Blue): สีฟ้าเป็นสีที่สื่อถึงความสงบและความเย็น สีฟ้าอ่อนจะช่วยให้ห้องดูโปร่งสบายและสดชื่น
  • สีเขียว (Green): สีเขียวเป็นสีที่สื่อถึงธรรมชาติและความสงบ สีเขียวอ่อนหรือเขียวมิ้นต์จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสดชื่น
  • สีม่วง (Purple): สีม่วงอ่อน เช่น ม่วงลาเวนเดอร์ เป็นสีที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่สงบและเย็นสบาย

2. โทนสีอ่อนและสว่าง (Light and Soft Tones)

สีอ่อนและสว่างจะช่วยให้ห้องดูโปร่งโล่งและเย็นสบาย สีที่ควรพิจารณาได้แก่:

  • สีขาว (White): สีขาวเป็นสีที่สะท้อนแสงและทำให้ห้องดูกว้างและโปร่ง สร้างบรรยากาศที่สะอาดและสดชื่น
  • สีเบจ (Beige): สีเบจเป็นสีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบายตา สามารถใช้แทนสีขาวเพื่อเพิ่มความอบอุ่นเล็กน้อย
  • สีเทาอ่อน (Light Gray): สีเทาอ่อนเป็นสีที่เรียบง่ายและสงบ ช่วยให้ห้องดูหรูหราและเย็นสบาย

3. การใช้สีเนื้อสัมผัสและการตกแต่งเพิ่มเติม

  • การใช้เนื้อสัมผัสที่เย็น: การใช้วัสดุที่ให้ความรู้สึกเย็น เช่น กระเบื้อง หินอ่อน หรือไม้สีอ่อน จะช่วยเพิ่มความรู้สึกเย็นสบายให้กับห้อง
  • การตกแต่งด้วยพืชและธรรมชาติ: การนำพืชสีเขียวเข้ามาตกแต่งห้องจะช่วยสร้างบรรยากาศที่สดชื่นและเย็นสบาย นอกจากนี้ยังช่วยกรองอากาศและเพิ่มความสดชื่น

4. การจัดแสง

  • การใช้แสงธรรมชาติ: การใช้แสงธรรมชาติให้มากที่สุดจะช่วยสร้างบรรยากาศที่สดชื่นและเย็นสบาย ควรใช้ม่านโปร่งที่สามารถให้แสงธรรมชาติเข้ามาในห้องได้
  • การใช้แสงสว่างที่เหมาะสม: การใช้แสงสีขาวหรือแสงสีเย็นจะช่วยเพิ่มความสว่างและความสดชื่นให้กับห้อง

5. การใช้สีแบบผสมผสาน

  • การใช้สีโทนเย็นเป็นหลัก: ใช้สีโทนเย็นเป็นสีหลักในห้อง เช่น สีผนังหรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่
  • การเพิ่มสีโทนอุ่นเล็กน้อย: การเพิ่มสีโทนอุ่นในรายละเอียดเล็กๆ เช่น หมอนอิง พรม หรือของตกแต่ง จะช่วยสร้างสมดุลและทำให้ห้องดูมีชีวิตชีวา

ตัวอย่างการใช้สีในห้องต่างๆ

  • ห้องนั่งเล่น: ใช้สีฟ้าอ่อนหรือสีเขียวมิ้นต์สำหรับผนัง และใช้เฟอร์นิเจอร์สีขาวหรือเบจ เพิ่มพืชสีเขียวและของตกแต่งที่มีเนื้อสัมผัสเย็น
  • ห้องนอน: ใช้สีม่วงลาเวนเดอร์หรือสีเทาอ่อนสำหรับผนัง และใช้ผ้าปูที่นอนและหมอนที่มีสีโทนเย็น เพิ่มผ้าม่านโปร่งและแสงสว่างที่เหมาะสม
  • ห้องน้ำ: ใช้กระเบื้องสีขาวหรือสีฟ้าอ่อน และใช้ผ้าเช็ดตัวและพรมที่มีสีโทนเย็น เพิ่มกระถางต้นไม้เล็กๆ เพื่อความสดชื่น

สรุป

การเลือกโทนสีที่เหมาะสมสำหรับบ้านจะช่วยสร้างบรรยากาศที่เย็นสบายและผ่อนคลาย การใช้สีโทนเย็น สีอ่อนและสว่าง การใช้เนื้อสัมผัสที่เย็น การจัดแสงที่เหมาะสม และการใช้สีแบบผสมผสานอย่างมีสมดุลจะช่วยให้บ้านของคุณเป็นที่พักผ่อนที่เย็นสบายและน่าอยู่มากขึ้น

 
 
Categories
Blog

10 ต้นไม้ช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน

ต้นไม้สามารถช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านได้ด้วยหลายวิธี เช่น การให้ร่มเงา การสร้างความชื้น และการดูดซับความร้อน นี่คือตัวอย่างของต้นไม้ 10 ชนิดที่สามารถช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านได้

1. ต้นไทรย้อยใบแหลม (Ficus benjamina)

ต้นไทรย้อยใบแหลมเป็นต้นไม้ที่มีลักษณะใบเล็กเรียวและหนาแน่น สามารถให้ร่มเงาได้ดี เมื่อต้นไม้โตเต็มที่จะมีพุ่มใบที่หนาแน่น ทำให้สามารถบังแดดและลดความร้อนที่เข้าสู่บ้านได้ นอกจากนี้ยังช่วยปรับสภาพอากาศภายในบ้านให้เย็นสบายยิ่งขึ้น

2. ต้นโพธิ์ (Ficus religiosa)

ต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่มีใบใหญ่และหนา สามารถให้ร่มเงาได้ดี ทำให้พื้นที่บริเวณรอบต้นไม้เย็นสบายขึ้น นอกจากนี้ยังมีความหมายทางศาสนาและวัฒนธรรม ทำให้มีคุณค่าทางจิตใจอีกด้วย

3. ต้นจามจุรี (Albizia saman)

ต้นจามจุรีมีลักษณะใบที่กระจายเป็นพุ่มกว้าง สามารถให้ร่มเงาที่กว้างขวางและมีการปล่อยน้ำออกจากใบ ทำให้บรรยากาศรอบๆ ต้นไม้เย็นสบายขึ้น และยังช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศ

4. ต้นจันทน์หอม (Santalum album)

ต้นจันทน์หอมเป็นต้นไม้ที่มีดอกและใบที่มีกลิ่นหอมสดชื่น ช่วยสร้างความร่มรื่นและบรรยากาศที่ผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการดูดซับความร้อน ทำให้บ้านเย็นขึ้น

5. ต้นกล้วย (Musa spp.)

ต้นกล้วยมีใบใหญ่ที่สามารถให้ร่มเงาได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความชื้นในอากาศด้วยการปล่อยน้ำจากใบ ทำให้บรรยากาศรอบๆ ต้นไม้เย็นสบายและสดชื่นยิ่งขึ้น

6. ต้นมะขาม (Tamarindus indica)

ต้นมะขามมีใบเขียวหนาแน่น สามารถให้ร่มเงาที่ดี ทำให้พื้นที่บริเวณรอบต้นไม้เย็นสบายขึ้น นอกจากนี้ยังมีผลไม้ที่สามารถใช้ประกอบอาหารและเครื่องดื่มได้อีกด้วย

7. ต้นราชพฤกษ์ (Cassia fistula)

ต้นราชพฤกษ์มีดอกสีเหลืองสดใสที่สวยงามและใบที่สามารถให้ร่มเงาได้ดี ทำให้บรรยากาศรอบๆ ต้นไม้เย็นสบายและสวยงามยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของวันสำคัญทางวัฒนธรรมไทย

8. ต้นสารภี (Mammea siamensis)

ต้นสารภีเป็นต้นไม้ที่มีใบเขียวหนาแน่นและมีกลิ่นหอมสดชื่น สามารถให้ร่มเงาได้ดี และช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเย็นสบายในบ้าน

9. ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ (Tabebuia rosea)

ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์มีดอกสีชมพูสวยงามและใบที่สามารถให้ร่มเงาได้ ทำให้พื้นที่รอบๆ ต้นไม้เย็นสบายและสวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้ที่ง่ายต่อการดูแลรักษา

10. ต้นปีบทอง (Radermachera ignea)

ต้นปีบทองมีดอกสีส้มสวยงามและใบที่สามารถให้ร่มเงาได้ดี ทำให้พื้นที่รอบๆ ต้นไม้เย็นสบายและสวยงามยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการดูดซับความร้อนและสร้างความชื้นในอากาศ

การปลูกต้นไม้เหล่านี้ใกล้บริเวณบ้านหรือในบริเวณที่ต้องการร่มเงาจะช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยให้บ้านเย็นขึ้นแล้ว ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่สดชื่นและร่มรื่นอีกด้วย

 
Categories
Blog

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์

คือการนำผิวไม้จริงหนา 2-3 มม. มาประสานกับไม้เนื้อแข็งโดยผ่านการแปรรูปด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย โดยมักมีชื่อเรียกตามผิวหน้า เช่น ไม้เอ็นจิเนียร์โอ๊ค ไม้เอ็นจิเนียร์มะค่า โดยการผลิตด้วยเทคโนโลยีทันสมัย

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Flooring) คือประเภทของพื้นไม้ที่ผลิตโดยการรวมชั้นของไม้ต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยทั่วไปจะประกอบด้วย

ชั้นผิวหน้า (Top Layer): เป็นไม้จริงที่มีความหนาประมาณ 2-6 มม. ชั้นนี้ให้ความสวยงามและความรู้สึกเป็นธรรมชาติของไม้แท้

ชั้นกลาง (Core Layer): ทำจากไม้เนื้อแข็งที่ประกอบกันในลักษณะขวางลายไม้ ทำให้มีความแข็งแรงและเสถียรภาพมากขึ้น ป้องกันการบิดเบือนหรือหดตัวเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของความชื้น

ชั้นฐาน (Bottom Layer): มักทำจากไม้อัดหรือไม้ชนิดอื่นที่มีความคงทน เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับพื้นไม้ทั้งหมด

ข้อดีของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์

ทนทานต่อความชื้นและความร้อนได้ดีกว่าไม้จริง: เนื่องจากมีการออกแบบให้ชั้นกลางขวางลายไม้ ทำให้การขยายตัวและหดตัวลดลงเมื่อเทียบกับไม้จริง
ติดตั้งง่าย: สามารถติดตั้งแบบคลิกล็อคหรือติดกาวกับพื้นได้
สามารถขัดและเคลือบได้: ชั้นผิวหน้าที่เป็นไม้จริงสามารถขัดและเคลือบได้หลายครั้งขึ้นอยู่กับความหนา
การใช้งาน
เหมาะสำหรับการใช้งานภายในอาคาร เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องนอน และพื้นที่ที่มีความชื้นต่ำ
ไม่แนะนำให้ใช้งานในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงมาก เช่น ห้องน้ำ
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความงามของไม้แท้แต่ต้องการความทนทานและเสถียรภาพที่ดีกว่าในการใช้งานประจำวัน

บริเวณที่เหมาะกับการติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Woof Flooring) ก็เหมือน พื้นไม้จริง (Solid Wood Flooring) กล่าวคือ เป็นวัสดุตกแต่งภายในบ้าน ไม่เหมาะสมสำหรับการติดตั้งนอกบ้าน และ พื้นห้องที่เหมาะสมสำหรับติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ จึงควรเป็นห้องที่ไม่มีน้ำและความชื้นเข้าถึงได้ ตัวอย่างห้องต่างๆที่นิยมติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น ห้องออกกำลังกาย เหมาะสมกับทั้งงานบ้าน โรงแรม และ คอนโดมิเนียม โดยเฉพาะคอนโดที่ต้องการตกแต่งห้องให้สวยงาม น่าอยู่ และ มีกลิ่นอายของพื้นไม้จริงที่มีลวดลายตามธรรมชาติและสีที่เข้มอ่อนของไม้สลับกันไป จะเห็นได้ว่า ตามคอนโดส่วนใหญ่ มักเลือกใช้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ในห้องส่วนกลาง เช่น ห้องสมุด ห้องโถง ห้องกิจกรรม หรือ แม้กระทั่งห้อง ฟิตเนส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคอนโดมิเนียมระดับบน ยังเลือกใช้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เพื่อนำมาตกแต่งพื้นให้สวยงาม ดูดีมีราคา เหมาะกับคอนโดแบบลักชัวรี่ อีกด้วยครับ เมื่อเราเดินเข้าไปในห้องที่ติดตั้งด้วยพื้นไม้จริง หรือ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ จะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างที่เด่นชัด ที่สามารถรับรู้ได้คือ กลิ่นของไม้ที่มีความหอมอันเป็นลักษณะเด่นของไม้ชนิดนั้นๆเป็นไปตามธรรมชาติรวมถึงลวดลายและสีของไม้ที่ธรรมชาติให้มาแบบที่วัสดุสังเคราะห์อื่นๆต้องการลอกเลียนแบบแต่ก็ไม่สามารถทำได้

Categories
Blog

การจัดสวนในบ้าน

การจัดสวน

การจัดสวนเมันเป็นเรื่องที่ผสมผสานความสวยงามของธรรมชาติและการออกแบบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ นอกจากนี้ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับบ้านและสร้างสุขภาพจิตที่ดีให้กับผู้อาศัยด้วย

สิ่งแรกที่ควรพูดถึงคือการวางแผนการจัดสวน เช่น การเลือกพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่และสภาพอากาศในพื้นที่ของคุณ การวางแผนเส้นทางเดินเท้าและพื้นที่พักผ่อน เพื่อให้การใช้งานง่ายและสะดวกสบาย

นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการจัดสวนที่น่าสนใจ เช่น การใช้ต้นไม้และพืชต่างๆ ในการสร้างพื้นที่เขียว เลือกตกแต่งต้นไม้ตามฤดูกาล หรือการใช้สระน้ำหรือน้ำพุในการตกแต่งที่น่าสนใจ

การจัดสวนในบ้านเป็นกิจกรรมที่น่าสนุกและมีประโยชน์ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่สดชื่นและสวยงาม นอกจากนี้ยังช่วยให้ปลอดโปร่งและสร้างพื้นที่สำหรับการฟื้นฟูจิตใจและปลดปล่อยความเครียด

การจัดสวนในบ้านสามารถแบ่งออกเป็นหัวข้อต่างๆ

เลือกพืชสวน

การเลือกซื้อและปลูกพืชสวนตามความชอบ และพิจารณาถึงสภาพอากาศและสภาพดินที่เหมาะสม

การดูแลรักษาพืช

การให้น้ำ การใส่ปุ๋ย การตัดแต่ง และดูแลสวนอย่างต่อเนื่อง

การจัดระเบียบพื้นที่ 

การวางและตกแต่งพื้นที่ให้เป็นได้ดี โดยสร้างที่พักผ่อน ที่สำหรับประท้วงและที่ให้ความร้องลำพัง

การใช้วัสดุตกแต่ง

การเลือกใช้วัสดุตกแต่งที่เหมาะสมและเพื่อสร้างความสวยงามและส่วนตัวในสวน

สรุป

การจัดสวนในบ้านสามารถช่วยสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและสร้างความสุขในการใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติและสวนสวรรค์ของคุณในสถานที่สงบสุขและปลอดโปร่ง
การสร้างสวนในบ้านเป็นกิจกรรมที่น่าสนุกและมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งกายและใจของเรา นอกจากการสร้างที่อยู่อาศัยที่สวยงามและเต็มไปด้วยพืชสร้างสรรค์ การสร้างสวนยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับบ้าน ลดการปล่อยกําลังการผลิตคาร์บอน และส่งเสริมการช่วยเหลือต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ การทำสวนในบ้านยังเป็นวิถีชีวิตที่สมบูรณ์แบบและดีต่อสุขภาพใจ โดยการใช้เวลาในสวนสามารถช่วยลดความเครียดและสร้างความสงบสุขให้กับจิตใจ เชื่อมต่อกับธรรมชาติและสร้างความสมาคมในครอบครัว

สวนในบ้านสามารถเริ่มต้นได้จากพื้นที่เล็กๆ บนระเบียงหรือด้านหน้าบ้าน และสามารถปลูกพืชตามความต้องการของคุณ เช่น พืชผักสลัด ผลไม้ เฮอร์บสลัส ต้นไม้ตกแต่ง หรือสรรพคุณต่าง ๆ ตามความถนัดและความสนใจของคุณ

ดังนั้นการสร้างสวนในบ้านไม่เพียงทำให้บ้านของคุณดูสวยงาม แต่ยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับสุขภาพร่างกายและใจของคุณด้วย

Categories
Blog

การอนุรักษ์พลังงานภายในบ้าน

เป็นเรื่องที่สำคัญทั้งในเชิงการประหยัดค่าใช้จ่ายและการลดผลกระทบต่อ เพื่อให้บ้านของเราน่าอยู่ และเป็นการรักโลกไปในตัว โดยวิธีการมีด้วยกันง่ายๆดังนี้

1.เปิดหน้าต่างรับลมและรับแสงธรรมชาติ

การเปิดหน้าต่างให้รับลมและแสงธรรมชาติเข้าสู่บ้านไม่เพียงแค่ช่วยลดการใช้พลังงานและค่าใช้จ่าย แต่ยังเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดียิ่งขึ้นด้วย

1.1 ประโยชน์ของการเปิดหน้าต่างรับลมและแสงธรรมชาติ

– ลดการใช้พลังงาน: การเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมสะอาดและการรับแสงธรรมชาติช่วยลดการใช้พลังงานในการทำความเย็นหรือทำความร้อนในบ้าน เนื่องจากลมและแสงอาจช่วยให้บ้านคงอยู่ในสภาพสบายมากขึ้น

– สุขภาพที่ดี: การได้รับแสงแดดซึ่งเป็นแหล่งสร้างวิตามิน D ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย และลมสะอาดที่เข้ามาจะช่วยระบายอากาศภายในบ้านให้มีคุณภาพดีขึ้น

– ความสะดวกสบายทางจิตใจ: การมีแสงธรรมชาติที่เข้ามาในบ้านช่วยเพิ่มความกระจ่างใจและช่วยลดความเครียดในชีวิตประจำวัน

1.2 วิธีการเปิดหน้าต่างให้เหมาะสม

เลือกสำหรับทิศทางและขนาด: การเลือกตำแหน่งของหน้าต่างที่เหมาะสมทั้งทิศทางและขนาด เพื่อให้ได้รับแสงแดดและลมสะอาดในปริมาณที่เหมาะสม

2.การใช้หลอดไฟ LED

เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการอนุรักษ์พลังงานในบ้าน เนื่องจากหลอด LED มีคุณสมบัติที่ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้มาก และมีข้อดีหลายประการดังนี้:

-ประหยัดพลังงาน: หลอด LED ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าหลอดไฟธรรมดาถึง 80-90% ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟภายในบ้านได้มาก

-อายุการใช้งานยาวนาน: หลอด LED มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าหลอดไฟธรรมดาถึง 10-20 เท่า ซึ่งส่งผลให้ลดการเปลี่ยนหลอดไฟบ่อยๆ และลดการสะสมขยะที่เกิดจากหลอดไฟที่เสีย

-ไม่มีสารพิษ: หลอด LED ไม่มีสารพิษเช่น ทองแดง ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม

-ประสิทธิภาพสูง: หลอด LED มีความสว่างสูงและสามารถแสดงสีได้ตามต้องการ และไม่มีปัญหาเรื่องการเปิด-ปิดบ่อยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งาน

3.การติดตั้งอุปกรณ์ปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพ

เป็นอีกหนึ่งในวิธีที่สำคัญในการอนุรักษ์พลังงานในบ้าน โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงระบบ Inverter Air Conditioner ซึ่งมีข้อดีต่อไปนี้:

-ประหยัดพลังงาน: Inverter Air Conditioner ใช้ไฟฟ้าน้อยกว่ารุ่นทั่วไป เนื่องจากมีการควบคุมความเย็นแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องเปิด-ปิดหยุดเพียงครั้งเดียว

-ประสิทธิภาพในการทำความเย็น: ระบบ Inverter ช่วยลดการใช้พลังงานในระหว่างการทำงานโดยปรับความเย็นของเครื่องแอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

-การทำงานเงียบ: หลังจากที่ได้รับคำสั่งทำงาน ครั้งแรกแล้วเครื่องปรับอากาศเริ่มทำงานที่ขาดคราว

4.การติดตั้งระบบพลังงานทดแทน

เช่น แผงโซลาร์เซลล์เป็นการลงทุนที่สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานภายในบ้านได้มาก นี่คือข้อดีหลักของการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์:

-ประหยัดค่าใช้จ่าย: การใช้แผงโซลาร์เซลล์ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้มาก โดยลดลงจากการใช้พลังงานจากบริษัทไฟฟ้าและลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา

-การอนุรักษ์พลังงานในบ้านไม่เพียงแค่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังเป็นการลดรายจ่ายในการบำรุงรักษาและเป็นการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นประโยชน์อย่างมากด้วยครับ

Categories
Blog

การนำวัสดุธรรมชาติเช่น ไม้ไผ่และหวายมาใช้ในการตกแต่งบ้าน

การนำวัสดุธรรมชาติมาใช้ในการตกแต่งบ้านเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในปี 2024 ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความสวยงามและความอบอุ่นให้กับบ้านของคุณ แต่ยังเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย วัสดุอย่างไม้ไผ่และหวายเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการตกแต่งบ้านให้มีความเป็นธรรมชาติและยังคงความทนทานได้ดี เรามาดูกันว่าการนำวัสดุเหล่านี้มาใช้ในการตกแต่งบ้านมีประโยชน์อย่างไรและวิธีการใช้งานที่เหมาะสม

1. ประโยชน์ของการใช้ไม้ไผ่และหวายในการตกแต่งบ้าน

ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: ไม้ไผ่และหวายเป็นวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติและสามารถปลูกใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยั่งยืนสำหรับการตกแต่งบ้าน ความทนทาน: วัสดุเหล่านี้มีความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งาน ทำให้เหมาะสำหรับการใช้ทำเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งบ้านที่ต้องการความแข็งแรง ความสวยงามตามธรรมชาติ: ลวดลายและสีสันของไม้ไผ่และหวายช่วยเพิ่มความอบอุ่นและความเป็นธรรมชาติให้กับบ้านของคุณ

2. การใช้ไม้ไผ่และหวายในการตกแต่งห้องต่าง ๆ

ห้องนั่งเล่น: การใช้เฟอร์นิเจอร์จากไม้ไผ่ เช่น โต๊ะกลางหรือโซฟา สามารถเพิ่มความอบอุ่นและความเป็นธรรมชาติให้กับห้องนั่งเล่น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ของตกแต่งจากหวาย เช่น กระเช้าหวายหรือตะกร้าหวาย เพื่อเพิ่มความสวยงาม ห้องครัว: การใช้ชั้นวางของจากไม้ไผ่หรือโต๊ะอาหารจากหวายช่วยเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้กับห้องครัว และยังทนทานต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ห้องนอน: การใช้หัวเตียงหรือโครงเตียงจากหวายช่วยเพิ่มความอบอุ่นและสบายให้กับห้องนอน นอกจากนี้ยังสามารถใช้โคมไฟจากไม้ไผ่เพื่อเพิ่มบรรยากาศอบอุ่น

3. วิธีการดูแลรักษาไม้ไผ่และหวาย

การทำความสะอาด: ใช้ผ้านุ่มชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีสารเคมีเข้มข้น การรักษาความชื้น: หลีกเลี่ยงการวางเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่และหวายในที่ที่มีความชื้นสูง เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราและการเสียรูป การป้องกันแสงแดด: หลีกเลี่ยงการวางเฟอร์นิเจอร์ในที่ที่โดนแสงแดดตรงๆ เป็นเวลานาน เพื่อป้องกันการเปลี่ยนสีและการเสื่อมสภาพ

สรุป

การนำวัสดุธรรมชาติเช่น ไม้ไผ่และหวายมาใช้ในการตกแต่งบ้านเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มความสวยงามและความอบอุ่นให้กับบ้านของคุณ วัสดุเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีความทนทานและสวยงามตามธรรมชาติ การดูแลรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งจากไม้ไผ่และหวายมีอายุการใช้งานยาวนาน ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ในการตกแต่งบ้านของคุณดูนะครับ
Categories
Blog

เทรนด์การตกแต่งภายในปี 2024: วิธีการเลือกใช้แสงหลายชั้นเพื่อสร้างบรรยากาศที่หลากหลาย

การตกแต่งภายในบ้านไม่ได้หยุดอยู่ที่การเลือกเฟอร์นิเจอร์หรือสีผนังเท่านั้น แต่การใช้แสงอย่างชาญฉลาดก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างบรรยากาศและเพิ่มความรู้สึกอบอุ่นให้กับพื้นที่ในบ้าน ในปี 2024 เทรนด์การใช้แสงหลายชั้นกำลังมาแรง มาดูกันว่าคุณสามารถนำวิธีนี้ไปใช้ในการตกแต่งบ้านของคุณได้อย่างไรบ้าง

1 การใช้แสงหลายชั้นคืออะไร?

การใช้แสงหลายชั้นคือการรวมแสงจากแหล่งต่าง ๆ ในห้องเดียวกัน เพื่อสร้างบรรยากาศที่หลากหลายและมีมิติ เทคนิคนี้ช่วยให้ห้องสามารถเปลี่ยนบรรยากาศได้ตามการใช้งาน เช่น จากการทำงานที่ต้องการแสงสว่างมาก ไปสู่การพักผ่อนที่ต้องการแสงนวลสบายตา

2 ประเภทของแสงในบ้าน

ในการตกแต่งภายในด้วยแสงหลายชั้น เราสามารถแบ่งแสงออกเป็นสามประเภทหลัก ได้แก่
  • แสงพื้นฐาน (Ambient Lighting): แสงที่ใช้ในการให้ความสว่างทั่วไปในห้อง เช่น โคมไฟเพดาน หรือไฟดาวน์ไลท์
  • แสงเน้น (Accent Lighting): แสงที่ใช้เพื่อเน้นจุดสำคัญหรือวัตถุในห้อง เช่น โคมไฟติดผนังที่เน้นภาพวาดหรือรูปปั้น
  • แสงทำงาน (Task Lighting): แสงที่ใช้สำหรับกิจกรรมเฉพาะ เช่น โคมไฟตั้งโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือ หรือไฟใต้ตู้ในห้องครัว

3 การจัดวางแสงหลายชั้นในห้องต่าง ๆ

  • ห้องนั่งเล่น: ใช้แสงพื้นฐานจากโคมไฟเพดาน เพิ่มแสงเน้นจากโคมไฟตั้งพื้นหรือติดผนังเพื่อสร้างบรรยากาศอบอุ่น และเพิ่มแสงทำงานในพื้นที่ที่ต้องการ เช่น มุมอ่านหนังสือ
  • ห้องครัว: ใช้แสงพื้นฐานเพื่อให้ความสว่างทั่วถึง เพิ่มแสงเน้นใต้ตู้เก็บของเพื่อเน้นพื้นที่ทำอาหาร และเพิ่มแสงทำงานที่เคาน์เตอร์ครัว
  • ห้องนอน: ใช้แสงพื้นฐานจากโคมไฟเพดานที่สามารถหรี่แสงได้ เพิ่มแสงเน้นจากโคมไฟข้างเตียงหรือไฟดาวน์ไลท์ และเพิ่มแสงทำงานที่โต๊ะทำงานหรือมุมอ่านหนังสือ

4 การเลือกแหล่งแสงที่เหมาะสม

การเลือกแหล่งแสงที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ ควรคำนึงถึงการใช้หลอดไฟที่มีอุณหภูมิสีต่าง ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศที่แตกต่างกัน เช่น ใช้หลอดไฟสีขาวนวลในพื้นที่ทำงานและหลอดไฟสีเหลืองอบอุ่นในพื้นที่พักผ่อน

5 การควบคุมแสงด้วยระบบอัจฉริยะ

ระบบควบคุมแสงอัจฉริยะ เช่น การใช้หลอดไฟที่สามารถปรับความสว่างและสีผ่านสมาร์ทโฟน ช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนบรรยากาศในห้องได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถตั้งเวลาเปิดปิดไฟตามการใช้งานจริงได้อีกด้วย

สรุป

การใช้แสงหลายชั้นในการตกแต่งภายในบ้านเป็นเทคนิคที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่หลากหลายและมีมิติ ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัว หรือห้องนอน การใช้แสงหลายชั้นช่วยให้ห้องของคุณดูมีชีวิตชีวาและอบอุ่นมากยิ่งขึ้น ลองนำเทคนิคนี้ไปใช้ในการตกแต่งบ้านของคุณดูนะครับ การใช้แสงหลายชั้นไม่ได้เพียงแค่เพิ่มความสวยงามให้กับบ้านของคุณ แต่ยังช่วยให้คุณสามารถใช้พื้นที่ในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
Categories
Blog

ค่าไฟแพงขึ้น รับมืออย่างไร?

การปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ ค่าเอฟที (ค่า FT) ซึางพุ่งสูงถึง 90-100 สตางค์ต่อหน่วย อาจทำให้ค่าไฟฟ้าต้องปรับเพิ่มสูงถึง 4.72 บาท/หน่วย จากปัจจุบันค่าไฟอยู่ที่ 4บาท/หน่วย จะส่งผลให้ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น เงินเฟ้อและของแพงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนเป็นอย่างมาก

ดังนั้นเราควรมีวิธีในการรับมือกับ #ค่าไฟแพง โดยมีวิธีการง่ายๆ ดังนี้

-สำรวจและดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน

ตรวจเช็คว่าเราใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรบ้าง? เพื่อทำการดูแลรักษาหรือเปลี่ยนใหม่ หากเครื่องใช้ไฟฟ้าของเราเก่าเกินไป โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมากที่สุด 

เครื่องปรับอากาศขนาด 12,000 BTU 1 เครื่อง กินไฟประมาณ 1,115 วัตต์ เปิดต่อเนื่องกันวันละ 10 ชั่วโมง กินไฟประมาณ 1,782.5 บาทต่อเดือน

ดังนั้นจึงควรตรวจเช็คการทำงานของเครื่องปรับอากาศ

-ควรเปิดพัดลมไล่อากาศภายในห้องก่อนเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือเปิดแอร์และพัดลมไปพร้อมกับเพิ่มอุณหภูมิแอร์ 1-2 องศา

-ล้างแอร์ และหมั่นทำความสะอาดแอร์

 

ในส่วนของตู้เย็น ก็ควรจัดระเบียบ หมั่นเคลียอาหารหรือวัตถุดิบในตู้เย็นออกบ่อยๆ เพราะยิ่งของในตู้เยอะ ยิ่งบิลค่าไฟเพิ่มสูงขึ้น

รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆภายในบ้าน ก็ควรมีการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ

 

-ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งหลังการใช้งาน หรือปิดไฟหลังการใช้งานทุกครั้ง

-จัดสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้เหมาะสมต่อการประหยัดไฟ

เช่น ใช้ผ้าม่านกันความร้อน ทาสีบ้านเป็นสีอ่อนๆ เช่น ขาวหรือครีม 

ปลูกต้นไม้ทางทิศตะวันตกหรือทิศใต้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

-ติดตั้งโซลาร์เซลล์

Lการติดตั้งโซลาร์เซลล์ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าไปได้ 20-30 % และอาจสูงสุดถึง 40% ได้เลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับบ้านที่มีการใช้ไฟฟ้าจำนวนมากในเวลากลางวัน เช่น เปิดแอร์ทั้งวัน ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือทำงานแบบ work from home และยังเป็นพลังงานสะอาด

ที่มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ 100% และยังมีส่วนช่วยลด co2 รักษาสิ่งแวดล้อมให้กับโลกอีกด้วย

ที่มา https://solarppm.com/ค่าไฟแพงขึ้น-รับมืออย่า/

Categories
Blog

นิติบุคคลคอนโด “ทำหน้าที่อะไร”

อาคารชุด หรือที่เราเรียกว่าคอนโดมิเนียม ดูจะเป็นที่พักอาศัยที่สามารถพบเห็นได้เป็นปกติในเมืองไทย ซึ่งในแต่ละโครงการก็จะมีบริษัทบริหารทรัพย์สิน หรือ “นิติบุคคล” คอยดูแลโครงการ ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความรู้จักว่าหน้าที่ของนิติบุคลลอาคารชุดมีอะไรบ้าง และทำไมถึงจำเป็นถึงจะต้องมี

การบริหารนิติบุคคลอาคารชุด เป็นเรื่องที่กฎหมาย พรบ.อาคารชุดกำหนดให้มี โดยที่บริษัทเหล่านี้จะเข้ามาดูแลผู้พักอาศัยและคอยดูแลภาพรวมความเป็นอยู่ของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ ซ่อมแซม ปรับปรุง หรือ พัฒนาโครงการ เป็นต้น

 

Q: เป้าหมาย และจุดประสงค์ของนิติบุคคล มีอะไรบ้าง ?

A: เป้าหมายและจุดประสงค์ของการมีนิติบุคคลมีดังนี้ครับ

  • รักษาผลประโยชน์ ของ ผู้อยู่อาศัย/เจ้าของร่วม โดยคาดหวังว่าผู้พักอาศัยจะได้อยู่อาศัยอย่างความสุข ความสงบ และเป็นระเบียบเรียบร้อย และลดปัญหาระหว่างผู้อยู่อาศัยที่อยู่ร่วมกันในอาคารนั้นๆ
  • การดูแลรักษาโครงการ (Upkeep and Maintenance) การดูแลรักษาอาคารและงานระบบให้คงสภาพในการใช้งานที่ดี การบำรุงรักษาพื้นที่ส่วนกลางให้น่าใช้ สวยงาม การบำรุงรัษาที่ดีก็จะทำให้อาคารและงานระบบของอาคารนั้นมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และส่งผลโดยตรงกับภาพลักษณ์ของโครงการ รวมถึงการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว
  • การปรับปรุง และพัฒนา  เพื่อคงสภาพและเพิ่มมูลค่าอาคารหรือทรัพย์สิน เจ้าของร่วมต้องเข้าใจและยอมรับว่างานระบบของอาคารมีอายุการใช้งาน สามารถเสื่อมสภาพได้ตามกาลเวลา แต่การดูแลรักษาที่ดีและการปรับปรุงอาคารให้ดีขึ้น นอกจากจะทำให้มีความน่าอยู่มากขึ้นแล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าของตัวอาคารได้ด้วยเช่นกัน การดำเนินการดังกล่าว เป็นเรื่องแน่นอนว่าต้องใช้ ทรัพยากรบุคคล และงบประมาณ เข้ามาช่วยเหลือ

บริหารคอนโดไม่ใช่เรื่องง่าย มักจะเจอกับปัญหาอะไรบ้าง ?

เป็นเรื่องที่แน่นอนว่าการบริหารอาคารที่มีการอยู่ร่วมกันของคนกลุ่มใหญ่ที่มีความหลากหลายด้านพฤติกรรม ต่างวัฒนธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายพอสมควร เราลองมาดูกันว่าปัญหาที่ส่วนใหญ่นิติบุคคลต้องเจอนั้นมีอะไรกันบ้าง

  • เจ้าของห้องชุด ไม่ยอมปฏิบัติตามกฏระเบียบ ข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด และการบังคับใช้ไม่เป็นผล
  • เจ้าของห้องชุดส่วนใหญ่มักจะไม่สนใจเรื่องการบริหารอาคารชุด ไม่อยากเข้ามามีส่วนร่วม ไม่อยากเข้ามาเป็นกรรมการนิติบุคคลอาคารชุด เพราะกลัวเสียเวลากลัวว่าจะเกิดความขัดแย้งกับกรรมการและขัดแย้งกับเจ้าของร่วมท่านอื่น
  • ไม่อยากจ่ายค่าส่วนกลางที่สูง มองว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง แต่ต้องการบริการที่ดีค่าใช้จ่ายไม่สูง เจ้าหน้าที่นิติต้องเนี๊ยบ มีความรู้ความสามารถ มีความเป็นมืออาชีพ และสามารถทำให้ได้ทุกอย่างตามใจที่เจ้าของปรารถนา
  • ปัญหาการซ่อมบำรุงโครงการ การซ่อมบำรุงที่ดีนั้นต้องทำเป็น preventive maintenance ซ่อมก่อนเสีย ซึ่งเป็นวิธีกรซ่อมบำรุงอาคารที่ดีมากแต่การดำเนินการนั้นต้องมีบุคลากร มีค่าใช้จ่าย แต่เจ้าของร่วมส่วนใหญ่จะไม่อยากจ่ายมองว่า แพง ไม่จำเป็น รอให้เสียก่อนค่อยซ่อม แต่เมื่อพอมีการชำรุดเจ้าหนี่นิติก็จะถูกมองว่าไม่ใส่ใจและไม่ดูแล

ที่มา https://propertymanagement.knightfrank.co.th/2021/11/26/หน้าที่-นิติบุคคล/